ประวัติศาสตร์ในอดีตคือคุณค่าแห่งปัจจุบัน
: สืบค้นรอยประพาสต้นของรัชกาลที่
๕ ในบ้านแหลม เพชรบุรี
ธีร์ พุ่มทับทิม
จดหมายฉบับที่
๕
เมืองเพชรบุรี
ณ วันที่ ๒๙ เดือนกรกฎาคม
ร.ศ. ๑๒๓
ถึง
พ่อประดิษฐ์
จดหมายฉบับก่อนฉันส่งไปแต่เมืองสมุทรสงคราม
บัดนี้ได้ตามเสด็จมาประพาสเมืองเพชรบุรีได้ ๖ วัน จะเสด็จจากเมืองเพชรบุรีพรุ่งนี้
มีเวลาว่างอยู่บ้างฉันจึงได้จดหมายฉบับนี้ส่งมาบอกข่าวคราว
วันที่
๒๔ เวลาเช้า เสด็จลงเรือฉลอม[1] แล่นใบออกไปประพาสละมุ[2] ที่เขาไปจับปลาตามปากอ่าวแม่กลอง
มีเรือฉลอมแล่นไปในกระบวนเสด็จ ๓ ลำด้วยกัน
เที่ยวหาซื้อกุ้งปลาที่เขาจับได้ตามละมุ แล้วต้มข้าวต้ม ๓ กษัตริย์ขึ้นในเรือฉลอม
ที่เรียกว่าข้าวต้ม ๓ กษัตริย์นั้นคือ ต้มอย่างข้าวต้มหมู
แต่ใช้ปลาทูกุ้งกับปลาหมึกแซกแทนหมู เป็นของทรงประดิษฐ์ขึ้นเช้าวันนั้นเอง
ตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยเหมือนวันนั้นเลย
เฉพาะเหมาะถูกคราวคลื่นราบลมดี เรือฉลอมแล่นใบลมฉิวราวกับเรือไฟ เสด็จพระองค์อาภา[3] เป็นกัปตันถือท้ายเรือพระที่นั่ง
แล่นลิ่วออกไปจากปากน้ำแม่กลอง แต่อย่างไรแล่นไกลออกไปทุกทีๆ
นานเข้าพวกเจ้าของเรือเห็นจะออกประหลาดใจแลดูตากันไปมา
ท่านก็ทอดพระเนตรเห็นแต่เห็นท่านยิ้มๆกัน
ฉันออกเข้าใจว่าเห็นจะแล่นใบเลยไปเมืองเพชรแน่แล้ว ดูใกล้ปากน้ำบ้านแหลมเข้าทุกที
พอแล่นเข้าไปก็พบกรมหมื่นมรุพงศ์[4] ทรงเรือไฟศรีอยุธยามาคอยรับเสด็จอยู่ที่ปากน้ำ
เป็นอันเข้าใจได้ว่ามีอะไรที่จะเล่นกันสักอย่างหนึ่งซึ่งท่านได้ทรงนัดแนะกันไว้แล้วเป็นแน่
ได้ยินแต่กรมหมื่นมรุพงศ์กราบทูลว่าสำเร็จสนิททีเดียว
เสด็จลงเรือศรีอยุธยาแล่นขึ้นไปตามลำแม่น้ำเมืองเพชรบุรี พอจวนจะถึงเมืองรับสั่งเรียกพวกที่ไปตามเสด็จให้เข้าซ่อนตัวอยู่ในเก๋ง
มีแต่กรมหมื่นมรุพงศ์ประทับอยู่หน้าเรือพระองค์เดียว ฉันแอบมองตามช่องม่าน
เมื่อแล่นผ่านพลับพลาเห็นเจ้าพระยาสุรพันธ์นั่งอยู่ที่นั้น
ได้ยินเสียงกรมหมื่นมรุพงศ์ร้องรับสั่งขึ้นไปแก่เจ้าพระยาสุรพันธ์ว่า "เห็นจะเสด็จถึงค่ำละเจ้าคุณ
ให้เตรียมคบไฟไว้เถิด ฉันจะขึ้นไปหาเสบียงที่ตลาดสักประเดี๋ยวจะกลับลงมา"
แล้วเรือศรีอยุธยาก็แล่นลอดสะพานช้างชึ้นไปจอดหน้าบ้านเจ้าพระยาสุรพันธ์
เสด็จขึ้นประทับในบ้านเจ้าพระยาสุรพันธ์ แล้วรับสั่งให้กรมหมื่นมหิศร[5] ไปตามเจ้าพระยาสุรพันธ์
ประเดี๋ยวใจเจ้าพระยาสุรพันธ์วิ่งตุบตับมาหน้านิ่วถวายคำนับ แล้วยืนถอนใจใหญ่
มีรับสั่งว่า
มาตอบแทนที่เจ้าพระยาสุรพันธ์ล่วงหน้าไปรับถึงบ้านปากธ่อเมื่อเสด็จคราวก่อน
เจ้าพระยาสุรพันธ์ก็ไม่เพ็ดทูลว่ากระไร
พวกเราก็สิ้นเกรงใจลงนั่งหัวเราะเจ้าพระยาสุรพันธ์งอๆไปตามกัน
พอลับหลังพระที่นั่งเจ้าพระยาสุรพันธ์ไพล่มาโกรธเอาพวกเราไม่เลือกหน้าว่าใคร
กรมหมื่นมรุพงศ์เป็นผู้ถูกตัดพ้อต่อว่ากว่าผู้อื่น แต่ท่านยิ่งโกรธเท่าใด
ก็ยิ่งทำให้พวกเราหัวเราะยิ่งขึ้นจนหายโกรธไปเอง
เสด็จประทับอยู่ที่เมืองเพชรบุรีนี้
ไม่ใคร่มีโอกาสได้เสด็จประพาสต้น
เพราะไม่มีทางที่จะเล็ดลอดหลีกไปได้เหมือนแถวแม่น้ำราชบุรี และสมุทรสงคราม
ความสนุกแปลกประหลาดไม่ใคร่จะมี
จะเล่าระยะทางที่เสด็จให้พ่อประดิษฐ์ทราบแต่พอเป็นเลาๆคือ วันที่ ๒๕
เสด็จประพาสทางเรือข้างเหนือน้ำ วันที่ ๒๖ เสด็จทางเรือไปประพาสบางทะเล
ประทับแรมที่บางทะลุคืนหนึ่งยุงชุมพอใช้ วันที่ ๒๗
เสด็จเรือฉลอมแล่นใบจากบางทะลุมาทางทะเลเข้าบ้านแหลม น้ำงวดเรือติดปากอ่าว
พายุก็ตั้งมืดมาจะรออยู่ช้ากลัวจะถูกพายุ
ผู้ไปตามเสด็จจึงพร้อมใจกันอาสาลงลุยเลนเข็นเรือกับพวกเจ้าของเรือ
สงสารแต่นายอัษฎาวุธเข้ายอมยกให้แล้วว่าไม่ต้องลงไปก็ไม่ฟัง
พอเรือพ้นตื้นเข้าปากน้ำได้ก็ถูกฝนใหญ่เปียกกันมอมแมม
กลับมาถึงเมืองเพชรบุรีสักทุ่มหนึ่ง วันที่ ๒๘ เสด็จประพาสพระนครคีรี
ถวายพุ่มพระสงฆ์เข้าพรรษาด้วย วันที่ ๒๙ เช้าเสด็จประพาสวัดต่างๆในเมืองเพชรบุรี
บ่ายวันนี้จะออกกระบวนเรือใหญ่ล่องลงไปประทับแรมที่บ้านแหลม พรุ่งนี้จะออกจากบ้านแหลมเสด็จไปประทับแรมที่เมืองสมุทรสาคร
นายทรงอานุภาพ
<!--[if !supportLineBreakNewLine]-->
<!--[endif]-->
จดหมายฉบับที่
๖
บ้านปากไห่
วันที่ ๖
สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๓
ถึง
พ่อประดิษฐ์
พรุ่งนี้ฉันจะกลับถึงบ้านแล้ว
วันนี้เขียนจดหมายเล่าเรื่องตามเสด็จให้พ่อประดิษฐ์ฟังเสียอีกฉบับ
ถ้ามีเรื่องราวอะไรต่อนี้ไป จะเล่าให้ฟังเมื่อไปพบกับพ่อประดิษฐ์ในกรุงเทพฯทีเดียว
ตั้งแต่ฉันจดหมายไปถึงพ่อประดิษฐ์จากเมืองเพชรบุรี เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม
บ่ายวันนั้นออกกระบวนใหญ่ล่องลงมาประทับแรมที่บ้านแหลม ทอดพระเนตรเห็นเรือเป็ดทะเลทอดอยู่ที่นั่นหลายลำ
รับสั่งว่า เรือเป็ดทะเลมีประทุนน่าจะสบายดีกว่าเรือฉลอม ใครกราบทูลไม่ทราบ
ว่าเรือเป็ดแล่นใบทะเลเสียดดีกว่าเรือฉลอมด้วย
จึงตกลงว่าจะลองเสด็จเรือเป็ดทะเลแล่นใบจากบ้านแหลม ลงมาปากน้ำท่าจีน
เพราะเมืองสมุทรสงครามและคลองสุนัขหอนก็ได้เคยเสด็จประพาสแล้ว
ตระเตรียมเรือเป็ดทะเลกัน ๓ ลำ
พอเวลาเช้าก็แล่นใบออกจากปากน้ำบ้านแหลม ฉันตามเสด็จมาในเรือพระที่นั่ง
ตอนเช้าคลื่นราบได้ลมดี ได้เห็นเรือเป็ดทะเลแล่นเสียดรวดเร็วดีกว่าเรือฉลอม จริงดังเขาว่า
มาได้สัก ๒ชั่วโมง พอพ้นปากน้ำแม่กลองมาตรงบ้านโรงกุ้งออกๆจะมีคลื่น
เรือโยนแรงขึ้นทุกทีๆมีคนที่ไปตามเสด็จด้วยกันเมาคลื่นลงหลายคน
แต่ฉันมั่นใจว่าตัวเองคงไม่เมา เคยไปตามเสด็จทะเลมา ถ้าจะนับเที่ยวก็แทบจะไม่ถ้วน
ไม่เคยเมาคลื่นกับใครง่ายๆ แต่อย่างไรวันนี้ออกจะสวิงสวายใจคอไม่สู้ปกติ
แต่แข็งใจทำหน้าชื่นมาได้สักชั่วโมงหนึ่ง
คลื่นเจ้ากรรมก็หนักขึ้นลงปลายฉันเองก็ล้มขอนกับเขาอีกคนหนึ่ง
ข้าวต้มสี่กษัตริย์ห้ากษัตริย์ อะไรที่ทรงทำในวันนี้รับพระราชทานไม่ไหว
ลงนอนแหมะอยู่หน้าเสาตอนศีรษะเรือ นึกน้อยใจนายมานพเห็นเพื่อนกันเมาคลื่น
ชอบแต่ว่าจะหาน้ำหาข้าวมาช่วยหยอด นี่กลับกล้องมาถ่ายรูปกันเล่นเห็นเป็นสนุก
แต่จะตอบแทนอย่างไรเราก็เมาคลื่นเต็มทน
ต้องนิ่งนอนเฉยจนเรือแล่นใบเข้าปากน้ำท่าจีน จึงลุกโงเงขึ้นได้ หิวเหมือนไส้จะขาด
เที่ยวค้นคว้าหาอะไรกิน ได้แต่ข้าวต้มซึ่งทรงพระกรุณาโปรดให้เก็บรักษาไว้พระราชทานชามหนึ่ง
นอกจากนั้นจะเป็นลูกหมากรากไม้อะไรไม่มีเหลือ
เพราะพวกที่เขาไม่เมาคลื่นว่ากันเสียชั้นหนึ่งแล้ว เหลืออยู่เท่าใด
พวกที่หายเมาคลื่นก่อนฉันช่วยกันซ้ำเสียหมด เพราะฉันออกมานอนแน่วอยู่ทางหัวเรือ
ลุกไปไม่ทัน ที่ได้กินข้าวต้มชามหนึ่งก็เพราะรับสั่งให้รักษาไว้พระราชทานฉันโดยเฉพาะ
ถ้าหาไม่ข้าวต้มชามนั้นก็คงจะพลอยสูญไปด้วย อย่างไรก็ตามเถิด
พอเข้าแม่น้ำได้ก็นึกสาปส่งว่าขึ้นชื่อว่าเรือเป็ดทะเล
ถึงจะแล่นใบเสียดดีกว่านี้อีกสักเท่าใดๆ ก็เห็นจะไม่ยอมไปเรือเป็ดทะเลอีกแล้ว
........
นายทรงอานุภาพ
ผมได้นำจดหมายอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
ที่พระนิพนธ์โดย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เป็นพระเจ้าน้องยาเธอของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หรือองค์รัชกาลที่ ๕ แห่งพระราชวงศ์จักรีของไทยเรา
โดยเนื้อความของจดหมายดังกล่าวมานั้นปรากฏอยู่ในหนังสือเรื่อง “เสด็จประพาสต้น”
ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยอย่างยิ่งเล่มหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ผมเกิดความสนใจขึ้นมาก็คือ
คำว่า บ้านแหลม
และข้อความที่ว่า เมื่อวันที่
๒๙ กรกฎาคม (๒๔๔๗) บ่ายวันนั้นออกกระบวน(เรือ)ใหญ่ล่องลงมาประทับแรมที่บ้านแหลม เป็นประหนึ่งให้เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า
แล้วปัจจุบันนี้สถานที่ประทับแรมเมื่อครั้งที่พระปิยมหาราชได้เสด็จมาประทับแรมที่บ้านแหลมนั้นอยู่ตรงไหน
ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์เรื่องนี้แทบไม่เคยมีใครกล่าวถึงหรือชี้ชัดลงไปได้เลยว่า
เป็นสถานที่ตรงไหนกันแน่
วันเวลาผ่านไป ถ้านับจากปี
พ.ศ. ที่พระปิยมหาราชได้เสด็จมาที่บ้านแหลม คือ ร.ศ.
๑๒๓ เท่ากับ พ.ศ.๒๔๔๗
เมื่อนับระยะเวลาจากปี พ.ศ. ดังกล่าวถึงปัจจุบันปี พ.ศ.๒๕๕๒
ก็เป็นเวลา ๑๐๕ ปี
ผู้คนที่ได้ทันเห็นเหตุการณ์เมื่อครั้งที่องค์พระปิยมหาราชเสด็จมาบ้านแหลม
ก็คงล้มหายตายจากกันไปหมดแล้วเป็นแน่ แต่ก็น่าแปลกใจตรงที่ทำไมไม่มีใครได้อนุรักษ์สถานที่อันเป็นที่ประทับแรมขององค์พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของไทยเอาไว้ที่บ้านแหลมบ้าง
ผมได้เพียรพยายามสืบค้นร่องรอยประวัติศาสตร์ตรงนี้มาตลอดเวลา
แต่ก็ไร้ร่องรอยที่ชี้ชัดให้ตรงกับประวัติศาสตร์ที่บันทึกเอาไว้ดังกล่าวมาได้
ดังนั้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ของบ้านแหลม
และพระมหากรุณาธิคุณของรัชกาลที่ ๕ ในวันที่
๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒
ซึ่งตรงกับวันแม่แห่งชาติ ทางวัดต้นสนโดยมีพระครูพัชรคุณาทร
ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัด พร้อมเหล่าศิษยานุศิษย์ได้ร่วมใจกันจัดงานเททองหล่อพระบรมรูปองค์รัชกาลที่
๕ ขนาดสูง ๑๘๐
ซม. โดยมีคุณวัลลภา ธีระสานต์
คุณกาญจนรัตน์ – คุณอำนาจ – คุณจารีนี
วรานนท์ ได้บริจาคทุนทรัพย์จำนวน
๕๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าแสนบาท) เพื่อเป็นค่าดำเนินงานเททองหล่อองค์พระบรมรูปพระปิยมหาราช
พร้อมกันนี้มีข้าราชการ ทหาร
ตำรวจ นิสิต นักศึกษา
พ่อค้าแม่ค้า ประชาชนทั่วไป ได้ร่วมจิตร่วมใจกันดำเนินการเททองหล่อในครั้งนี้ด้วย
รวมสรุปค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างองค์พระบรมรูปพระปิยมหาราชนี้คิดเป็นจำนวนเงินกว่า
๘๐๐,๐๐๐ บาท (แปดแสนบาท)
และได้ประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์ในวันที่
๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์
บริพัตร์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ผู้มีฐานันดรศักดิ์เป็นเหลนในองค์พระปิยมหาราช
ให้เกียรติมาเป็นประธานทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕
ณ วัดต้นสน บ้านแหลม เพชรบุรี
ทั้งนี้เพื่อเป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์แห่งดินแดนบ้านแหลม
และเป็นอนุสรณ์สถานน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระบารมีแห่งองค์พระพุทธเจ้าหลวงสืบต่อไป
หลังจากวันที่ ๒๓
ตุลาคม ๒๕๕๒ ผ่านไปได้
๑ เดือน คุณทิฆัมพร
ตันติวิญญูพงศ์ ได้มาบอกให้ทราบเป็นนัยว่า
มีผู้เล่าว่ามีสถานที่เป็นหลักฐานเมื่อครั้นที่รัชกาลที่ ๕
ได้เคยเสด็จมาประทับ ถ้าสนใจจะอาสาพาไปดูสถานที่ดังกล่าว
ผมตอบตกลงทันที ดังนั้นในวันที่
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
เวลาประมาณ ๗ โมงเช้า
คุณทิฆัมพรขับรถมารับผมแล้วก็เดินทางกันไปดูสถานที่มีผู้เล่ากันไว้ดังกล่าว
ซึ่งเส้นทางที่จะไปนั้นก็คืออยู่ในหมู่ที่ ๑๐
ของบ้านแหลม ผ่านวิหารหลวงพ่อสัมฤทธิ์
ผ่านศาลเจ้าฮุดโจ๊วเข้าไปทางซ้ายมือ ผ่านคุ้งตาไป่
ซึ่งฝั่งตรงข้ามลำคลองจะเป็นแหลมตาชื่น
วิ่งรถมาก็ลึกพอสมควร
เส้นทางที่ไปเป็นถนนแคบ
ๆ เทคอนกรีตใหม่ ความกว้างขนาดรถมอเตอร์ไซค์พอวิ่งผ่านสวนทางกันได้
สถานที่เข้าใจกันว่าพระพุทธเจ้าหลวงเคยมาประทับแรมนั้นอยู่ใกล้กับอู่ต่อเรือของโกหน่าย
คุณทิฆัมพรได้ชี้ให้เห็นถึงสิ่งก่อสร้างที่ดูรูปร่างเหมือนศาลเจ้าอะไรสักอย่างหนึ่ง
แล้วบอกว่านี่แหละคือสถานที่เข้าใจว่าเป็นที่ประทับแรม
ผมได้ถ่ายภาพลงมาให้เห็นเป็นหลักฐาน
เพื่อท่านผู้อ่านจะได้มองเห็นภาพเดียวกันกับที่ผมไปเห็นมา
มีลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างใหม่ สร้างครอบหรือล้อมอะไรไว้สักอย่างหนึ่ง
ครั้นเข้าไปดูภายในก็จะมองเห็นต้นโพธิ์ยืนตายต้นนานแล้วอยู่
๑ ต้น มีโต๊ะหมู่เล็ก
ๆ ๑ ชุด
โดยมีพระบรมรูป ร.๕ หล่อด้วยปูนขาวทารักสีดำขนาด
๙ นิ้ว ๑ องค์
และมีเก้าอี้ไม้สำหรับนั่ง ๑
ตัว ซึ่งทุกอย่างที่ปรากฏให้เห็นนั้น
ล้วนแต่เป็นของใหม่ในยุคนี้ทั้งหมด ทำให้ผมสรุปว่า
ภายในสิ่งก่อสร้างที่เหมือนศาลเจ้านี้ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันได้เลยว่า
เคยเป็นที่ประทับแรมของรัชกาลที่ ๕
เมื่อหาหลักฐานทางวัตถุสิ่งของไม่ได้
ก็ต้องหาหลักฐานทางกายภาพหรือสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์
ต้องถือว่าเป็นบุญของผมอย่างหนึ่งที่ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้
ทำให้ได้พบเพื่อนเก่าสมัยที่เรียนหนังสือชั้นประถมด้วยกันที่โรงเรียนวัดลักษณาราม
นั่นคือได้พบกับคุณอุปถัมภ์ ฐิติไพศาลธนวงศ์
หลังจากต้องพลัดพรากกันไปนานร่วม ๓๐
กว่าปี แต่เค้าหน้าของเขายังคงมีส่วนเดิมอยู่จนทำให้ผมจำเขาได้
หลังจากได้ทักทายกันเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้สอบถามถึงสถานที่ประทับแรมของ
ร.๕ ซึ่งอุปถัมภ์ก็ยอมรับว่า
ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทั้ง ๆ
ที่บ้านของเขาก็อยู่ตรงนี้ เพื่อให้ได้ความย้อนหลังครั้งอดีต
เขาเลยไปตามคุณพ่อคุณแม่มาให้ผมสัมภาษณ์
ซึ่งพอเห็นหน้าผมก็จำได้ว่าเป็นคุณน้าย่อม
ญาติกับน้าเยาว์ซึ่งเป็นน้าสะใภ้ผมนั่นเอง
คุณน้าย่อมมาพร้อมกับคุณน้าไพรัญ ท่านเล่าว่าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก
จนถึงขณะนี้ คุณน้าย่อมอายุได้ ๗๖
ปี คุณน้าไพรัญอายุ ๗๑
ปี แถมยังมีคุณตาอ้น บุญมี
อายุ ๘๐ ปี
เพื่อนบ้านแถวนั้นได้เข้ามาร่วมพูดคุยอดีตย้อนหลังให้ฟังอีกด้วย
จากการพูดคุยเชิงสัมภาษณ์เล่าเรื่องเก่าย้อนหลัง
ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าพินิจมากทีเดียว ท่านผู้ใหญ่
๓ ท่านดังกล่าว ได้เล่าว่า
พ่อแม่และคนรุ่นเก่าเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่งว่า
ลำคลองแม่น้ำบ้านแหลมแต่ก่อนกว้างใหญ่กว่าทุกวันนี้มาก
สถานที่ตรงที่สร้างศาลครอบต้นโพธิ์ที่ยืนตายต้นนั้น
แต่ก่อนเคยเป็นศาลาริมน้ำ เป็นศาลาขนาดใหญ่สำหรับนั่งพักของพ่อค้าแม่ค้าและผู้คนที่สัญจรผ่านทางแม่น้ำบ้านแหลม
คุณตาอ้นยืนยันว่า เมื่อสมัยเด็ก
ๆ ยังมองเห็นต้นโพธิ์และต้นแสมใหญ่ยืนอยู่คู่กัน
ยังมีต้นเสาที่เคยเป็นศาลาหลังเดิมอยู่หลายต้น
มองเห็นเป็นรูปโครงของศาลาที่พักอาศัยได้ทันที
แต่ไม่รู้ว่ามีการรื้นถอนเสาไปเมื่อไร ทุกวันนี้ก็มีเหลือเสาอยู่ต้นเดียวเท่าที่มองเห็น
ผมได้พิเคราะห์ดูอายุความเก่าของเสาต้นที่ว่า
มีอายุนับเป็น ๑๐๐
ปีจริงทีเดียว ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าทึ่งในความรู้สึกผมมาก
และที่ทำให้ผมแทบจะปลงใจเชื่อได้ว่าที่นี่คือที่ประทับแรมขององค์รัชกาลที่
๕ นั่นคือท่านผู้สูงวัย
๓ ท่านนั้นกล่าวตรงกันว่า
ผืนดินตรงนี้เมื่อเจ้าของที่ดินเดิมทราบว่ามีพระมหากษัตริย์มาประทับแรม
จึงได้ยกถวายที่นี้ให้เป็นของหลวง
โดยอยู่ภายใต้การดูแลของราชพัสดุ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน
เมื่อได้สอบถามเจ้าของบ้านที่ปลูกในพื้นที่ของหลวงก็กล่าวว่า
เป็นที่ต้องเช่าหลวงและจ่ายค่าเช่าให้กับกองราชพัสดุ
ซึ่งที่น่าพินิจเป็นอย่างมากก็ตรงที่ พื้นดินแถบบริเวณนี้มีตรงนี้ที่เดียวที่เป็นของหลวง
นอกจากนั้นก็เป็นที่จับจองของชาวบ้านราษฎรทั่วไป
หลังจากได้พูดคุยเชิงสัมภาษณ์กันพอสมควร
ก็เป็นอันสรุปได้ความว่า มีความน่าจะเป็นไปได้
เรื่องสถานที่ครั้งสมัยองค์พระปิยมหาราชได้เคยเสด็จมาประทับแรมที่บ้านแหลม
ตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุพระนิพนธ์เรื่อง “เสด็จประพาสต้น”
ดังที่ผมได้นำเนื้อความจดหมายฉบับที่ ๕
และที่ ๖ ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้
โดยใช้นามปากกาว่า “นายทรงอานุภาพ”
ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไป แม้จะไม่ปรากฏมีหลักฐานที่ยืนยันในเรื่องวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ขององค์รัชกาลที่
๕ ได้เลย แต่ก็มีสถานที่ทางภูมิศาสตร์ที่เป็นหลักฐานได้อย่างหนึ่งว่า
สถานที่ตรงนี้เคยเป็นศาลาริมน้ำหลังใหญ่
ใช้เป็นที่พักของผู้คนที่สัญจรทางเรือ และพื้นแผ่นดินตรงนี้ทางเจ้าของที่ดินเดิมได้ยกให้เป็นของหลวง
โดยให้เหตุผลว่าเพราะมีพระมหา กษัตริย์ได้มาประทับพักที่ตรงนี้
หลักฐานคำบอกเล่าดังกล่าวมานั้นแม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ทราบได้ในขณะนี้
แต่ถ้าได้มีการสืบค้นถึงวันเวลาที่เจ้าของที่ดินได้ยกให้กับหลวง
ว่าเป็นวันเดือนปีใด มีความใกล้เคียงกับ
พ.ศ.๒๔๔๗ หรือไม่ประการใด เมื่อได้ข้อมูลตรงนี้มาเทียบเคียงกับร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่ปรากฏในพระนิพนธ์ “เสด็จประพาสต้น”
ก็อาจทำให้การสืบค้นสถานที่ประทับแรมขององค์พระพุทธเจ้าหลวงในดินแดนบ้านแหลมดูจะอยู่อีกไม่ไกลแน่นอน
แม้ว่าขณะนี้เราจะยังไม่ทราบสถานที่ประทับแรมของรัชกาลที่ ๕
ที่ชัดเจน แต่ชาวบ้านแหลมก็ควรจะภาคภูมิใจได้อย่างหนึ่งว่า
ได้ปรากกฎร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกด้วยลายลักษณ์อักษรยืนยันไว้ชัดเจนว่า
เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม (๒๔๔๗)
บ่ายวันนั้นออกกระบวน(เรือ) ใหญ่ล่องลงมาประทับแรมที่บ้านแหลม
จึงเป็นเหตุผลประการสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้มีการสร้างพระบรมรูปรัชกาลที่
๕ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงและเคารพเทิดทูนในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงมีต่อประเทศไทย
ทำให้ไทยเราได้คงความเป็นเอกราช และมีความเจริญรุ่งเรืองเทียมเท่านานาอารยประเทศตราบถึงทุกวันนี้
นั่นคือผลจากจุดเริ่มต้นที่องค์พระปิยมหาราชได้ทรงวางแนวทางไว้ให้เราชาวไทยทุกหมู่เหล่าได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างไม่มีวันลืมเลือน.
<!--[if !supportFootnotes]-->
<!--[endif]-->
ละมุ คือ โป๊ะเล็กๆ ที่ทำไว้สำหรับจับปลาตามชายฝั่งทะเล
ห่างฝั่งออกไปไม่มากนัก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๕
พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ พระองค์เจ้าวัฒนานุวงศ์
กรมขุนมรุพงษศิริพัฒน์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น
๔ พระองค์เจ้าไชยันตมงคล
กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย